“ไฮ-คูล” ตั้งเป้าปี 2566 เพิ่มมาร์เก็ตแชร์ด้วยการออกโปรดักซ์ไลน์ใหม่ - จับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ - ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เตรียมมุ่งทำตลาด EV ภายใต้แคมเปญ “Hi-Kool EV Film Digital Friendly for EV Car” ชูจุดขายสำคัญเป็นฟิล์มที่ไม่บล็อกสัญญาณดิจิทัล พร้อมมุ่งทำตลาด R-Series ฟิล์มในตำนานที่สร้างชื่อเสียงให้กับไฮ-คูล ทุ่มงบการตลาด 50 ล้านบาท พร้อมสร้างมาตรฐานให้กับตัวแทนจำหน่ายด้วยการมอบ “ใบการันตีดีลเลอร์” และสานต่อโครงการยกระดับเพื่อเพิ่มศักยภาพฝีมือช่างติดตั้งกระจกรถยนต์ สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าติดฟิล์มกรองแสงกับตัวแทนจำหน่ายที่ใดได้มาตรฐานเดียวกับบริษัท
นางสาวชลิฏา วณิชชากรพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและการตลาด บริษัท ลีวณิชย์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงไฮ-คูล (Hi-Kool) กล่าวว่า ตลาดฟิล์มกรองแสงในประเทศไทยเติบโตไปในทิศทางเดียวกับตลาดรถยนต์ โดยตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2565 ตลาดฟิล์มกรองแสงเติบโต 17% หรือมียอดจำหน่ายรถใหม่ออกสู่ตลาด 690,000 คัน แต่เทียบไม่ได้กับปี 2561 – 2562 ช่วงก่อนเกิดโควิด – 19 ที่แต่ละปีมีรถใหม่ออกสู่ตลาด 1,000,000 คัน อย่างไรก็ดี คาดว่าถึงปลายปี 2565 ตลาดรถใหม่จะปิดที่ 860,000 คัน
สำหรับตลาดฟิล์มกรองแสงปี 2566 คาดว่าจะเติบโตกว่าปี 2565 ประมาณ 8% หรือ 900,000 คัน เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว รัฐบาลส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ คนเริ่มมีงานทำมากขึ้น เงินเริ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการที่รัฐบาลออกมาตรการสนับสนุนเงินให้ผู้ประกอบรถ EV ทั้งนำเข้าจากต่างประเทศและผลิตในประเทศนำไปเป็นส่วนลดให้ประชาชนที่สนใจซื้อรถ EV ทำให้ตลาดรถ EV ตื่นตัว
ด้านมูลค่าตลาดฟิล์มกรองแสงอยู่ที่ 2,200 ล้านบาท โดยไฮ-คูลมีมาร์เก็ตแชร์ 30% หรือ 680 ล้านบาท คาดว่าปี 2566 ไฮ-คูลจะมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นด้วยการออกโปรดักซ์ไลน์ใหม่และจับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์มากขึ้น รวมทั้งขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ปัจจุบันไฮ-คูลทำตลาดต่างประเทศมาได้ 3 ปีแล้วเป็นการทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายของประเทศเวียดนาม ลาวและพม่า แม้จะยังไม่เติบโตในตลาดต่างประเทศเท่าที่ควร เนื่องจากสถานการณ์โควิด – 19 และปริมาณรถของประเทศเหล่านี้ยังมีจำนวนไม่มาก แต่แบรนด์ไฮ-คูลก็เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากลูกค้าในประเทศเหล่านี้
“ตลาดต่างประเทศเราค่อยๆ เริ่มทำตลาด โดยจะจับกลุ่มประเทศในอาเซียนก่อน ตอนนี้ก็มีลูกค้าทางดูไบ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สนใจจะมาเป็นตัวแทนจำหน่าย ด้วยเราเป็นเจ้าของแบรนด์เองทำให้เราสามารถขยายตลาดไปต่างประเทศได้ง่าย ขณะที่แบรนด์อื่นๆ เขาเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยทำให้เขาไม่สามารถขยายตลาดต่างประเทศได้ ต้องให้ตัวแทนจำหน่ายแต่ละประเทศเป็นคนทำตลาด”
นางสาวชลิฏา กล่าวถึงการแข่งขันตลาดฟิล์มกรองแสงในประเทศไทยว่า “บ้านเราแข่งขันกันดุเดือดมาก แข่งกันด้วยโปรโมชั่น มีการดัมพ์ราคาที่ค่อนข้างมาก ตลาดฟิล์มกรองแสงในไทยมีแบรนด์หลักๆ 3 – 4 แบรนด์ ที่เหลือเป็นแบรนด์เล็กแบรนด์น้อย”
สำหรับการทำตลาดของไฮ-คูลปี 2566 จะมุ่งจับตลาดฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV ภายใต้แคมเปญ “Hi-Kool EV Film Digital Friendly for EV car” โดยชูจุดขายสำคัญ คือ เป็นฟิล์มที่ไม่บล็อกสัญญาณดิจิทัล โดยฟิล์มที่เหมาะกับรถ EV จะต้องไม่มีโลหะหรือมีโลหะปริมาณน้อย อย่างตัว Hi-Kool Ceramic Black Night และ Super Hi-Kool Beyong Ceramic สองตัวนี้จะไม่บล็อกสัญญาณดิจิทัล
นอกจากนี้ จะยังคงมุ่งทำตลาด R-Series ฟิล์มในตำนานที่สร้างชื่อเสียงให้กับไฮ-คูล โดยปี 2566 จะใช้งบการตลาด 50 ล้านบาทและยังคงให้ดีเจเพชร จ้า เป็นพรีเซ็นเตอร์ เนื่องจากดีเจเพชร จ้า เป็นกูรูทางด้านรถยนต์และยังเป็นอินฟลูเอนเซอร์ โดยไฮ-คูลจะมุ่งการทำตลาดออนไลน์ 30% ซึ่งไฮ-คูลเป็นผู้นำด้านตลาดออนไลน์อยู่ ตั้งแต่เกิดโควิด – 19 สามารถสร้างยอดจองติดฟิล์มได้ 500 คันถือเป็นสถิติที่สูงมาก ส่วนอีก 70% จะมุ่งตลาดออฟไลน์ ซึ่งปัจจุบันไฮ-คูลมีตัวแทนจำหน่ายอยู่ 2,000 รายทั่วประเทศและทุกเดือนก็มีตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้น
นางสาวชลิฏา กล่าวถึงแผนการพัฒนาคุณภาพตัวแทนจำหน่ายว่า ในปี 2566 ไฮ-คูลจะสร้างมาตรฐานให้กับตัวแทนจำหน่ายด้วยการมอบ “ใบการันตีดีลเลอร์” ให้กับตัวแทนจำหน่ายที่ผ่านเกณฑ์ที่ไฮ-คูลกำหนด เพื่อสร้างมาตรฐานการบริการที่เหนือกว่าเดิมและแตกต่างจากตัวแทนจำหน่ายที่ไม่ได้รับ “ใบการันตีดีลเลอร์” นอกจากนี้ จะสานต่อโครงการยกระดับเพื่อเพิ่มศักยภาพฝีมือช่างติดตั้งกระจกรถยนต์ ซึ่งได้ร่วมกับสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร จัดอบรม โดยปีนี้ได้จัดอบรมไปแล้วหนึ่งรุ่น สามารถผลิตช่างฝีมือภายใต้มาตรฐานเดียวกับบริษัทได้ 30 คน ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าติดฟิล์มกรองแสงกับตัวแทนจำหน่ายที่ใดจะได้มาตรฐานเดียวกับบริษัท
สำหรับจุดเด่นที่ทำให้ลูกค้าไว้วางใจและเลือกติดฟิล์มกรองแสงกับไฮ-คูล เพราะไฮ-คูลอยู่ในตลาดนี้มา 39 ปีแล้ว สินค้าของไฮ-คูลเป็นสินค้าที่จับต้องได้ ราคาไม่แพงเริ่มต้นที่ 5,000 บาทขึ้นไปสำหรับรุ่น R-Series และ 9,000 บาทขึ้นไปสำหรับรุ่น Hi-Kool Ceramic Black Night และ Super Hi-Kool Beyong Ceramic นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติกันความร้อนได้สูงและมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่ม
โดยกลุ่มเป้าหมายของไฮ-คูลจะเป็นกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน คนวัยกลางคน หรือคนที่ได้รับคำแนะนำการติดฟิล์มกรองแสงจากรุ่นพ่อและปัจจุบันไฮ-คูลได้ขยายตลาดไปยังกลุ่มไฮเอนด์ โดยดีเจเพชร จ้า ซึ่งแรกๆ ที่ดีเจเพชร จ้า มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ กลุ่มลูกค้าจะเป็นกลุ่มคนที่เป็นแฟนคลับและคนที่รักรถ ต่อมาดีเจเพชร จ้า ได้ออกรถซุปเปอร์คาร์ เขาก็ยังเลือกใช้ไฮ-คูลทำให้กลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ ดารา เลือกใช้สินค้าของไฮ-คูล เพราะมั่นใจในสินค้าและเชื่อมั่นคำแนะนำของดีเจเพชร จ้า
ด้วยราคาและคุณภาพที่เหนือกว่าแบรนด์อื่นๆ ทำให้ไฮ-คูลได้รับรางวัล Superbrands ติดต่อกัน 10 ปี ซึ่งรางวัล Superbrands จะมอบให้กับสุดยอดแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย จัดโดย Superbrands Thailand เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าไฮ-คูลเป็นแบรนด์คนไทยที่แข็งแกร่งตัวจริง