Home Environment มจธ. อันดับ 1 ของโลก SDG 7 พลังงานสะอาด และอันดับ 54 ของโลก TOP 100 จาก THE Impact Rankings 2021

มจธ. อันดับ 1 ของโลก SDG 7 พลังงานสะอาด และอันดับ 54 ของโลก TOP 100 จาก THE Impact Rankings 2021

0
มจธ. อันดับ 1 ของโลก SDG 7 พลังงานสะอาด และอันดับ 54 ของโลก TOP 100 จาก THE Impact Rankings 2021

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 64 Time Higher Education Impact Rankings 2021 ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม จาก 1,115 สถาบัน ใน 94 ประเทศทั่วโลก พบมหาวิทยาลัยไทยได้รับการจัดอันดับ 26 แห่ง ทั้งนี้การจัดอันดับดังกล่าวใช้เกณฑ์การประเมินมหาวิทยาลัยตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ หรือ Sustainable Development Goals (SDG) ครอบคลุมตัวชี้วัดที่สร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ ในมิติการศึกษา การวิจัย การดำเนินงาน และกิจกรรมการมีส่วนร่วมของสาธารณะ โดยในปีนี้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับ 1 ของโลก ใน SDG ที่ 7 พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้ และอันดับ 54 ของโลก ด้วยคะแนนรวม 89.3% และเป็นอันดับ 2 ในประเทศไทย

รศ. ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ. กล่าวว่า “จากผลการจัดอันดับ โดย Times Higher Educations Impact Rankings ในปีนี้ มจธ. มีผลงานที่โดดเด่นอย่างมากใน SDG ที่ 7 Affordable and Clean Energy (ด้านพลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้) โดยมีการวัดผลจากผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน นโยบายและแผน ที่นำไปสู่การใช้พลังงานสะอาด และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานภายในมหาวิทยาลัย และความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในชุมชนเป็นวงกว้าง ซึ่ง มจธ. ได้คะแนน 84.4% และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของโลก

การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับ SDG ที่ 7 ของ มจธ. นั้น มีเป้าประสงค์ครอบคลุม 3 ประเด็นหลัก คือ การเข้าถึงพลังงานสะอาดของชุมชน การเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน (Renewable Energy) และการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในหน่วยงาน โดยมีผลงานที่โดดเด่น คือ มจธ. มุ่งเน้นศึกษาและวิจัยด้านพลังงานสะอาด และการจัดการพลังงาน โดย มจธ. นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่จัดตั้งคณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ และมีอีกหลายหน่วยงานที่ทำงานวิจัยและบริการวิชาการด้านการจัดการพลังงาน ได้แก่  บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE)  คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และสถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ เป็นต้น อีกทั้งมีผลงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยมีความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่ได้นำออกไปใช้ประโยชนให้กับชุมชนและสังคมอีกมากมาย

รศ. ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ว่า นอกเหนือจาก SDG ที่ 7 ที่ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของโลกแล้วนั้น การจัดอันดับโดย THE Impact Rankings ในปีนี้ มจธ. มีผลงานเด่นเป็นอันดับต้นของโลก ในอีก 6 SDGs ได้แก่  SDG ที่ 6 Clean Water and Sanitation (การจัดการน้ำและสุขาภิบาล) ซึ่ง มจธ. ได้คะแนน 74.8% และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 24 ของโลก SDG ที่ 12 Responsible Consumption and Production (แผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน) ซึ่ง มจธ. ได้คะแนน 81.9% และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 30 ของโลก SDG ที่ 1 No Poverty (ขจัดความยากจน) ซึ่ง มจธ. ได้คะแนน 72.2% และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 46 ของโลก SDG ที่ 17 Partnership for the Goals (ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน) ซึ่ง มจธ. ได้คะแนน 89.7% และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 47 ของโลก SDG ที่ 14 Life below Water (การใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางธรรมชาติ) ซึ่ง มจธ. ได้คะแนน 71.8% และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 50 ของโลก และ SDG ที่ 2 Zero hunger (ขจัดความหิวโหย)  ซึ่ง มจธ. ได้คะแนน 63.6% และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 77 ของโลก

รศ. ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย กล่าวทิ้งท้ายว่า “ The Impact Rankings 2021 นั้น สะท้อนถึงการดำเนินงานของ มจธ. โดยมีเป้าหมาย SDGs 2030 เน้นกิจกรรมหลักใน 3 ด้าน ประกอบด้วย การจัดการพลังงาน สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย อีกทั้งสะท้อนให้เห็นถึงการร่วมแรงร่วมใจกันของทุกภาคส่วน ที่มุ่งหวังให้เกิดการพัฒนามหาวิทยาลัยและสังคมอย่างยั่งยืน ผ่านการเรียนการสอน รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ และการที่ มจธ. ได้รับการจัดอันดับโดยมีคะแนนเป็นอันดับ 1 ของโลก เทียบจากมหาวิทยาลัยทั่วโลกที่ส่งรายงานเพื่อเข้ารับการพิจารณา ใน SDG ที่ 7 นั้น ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง และมจธ. จะยังคงมุ่งมั่นเพื่อการพัฒนาการศึกษา วิจัย และบริการสังคม โดยยึดเป้าหมาย SDGs 2030 ในการผลิตนักศึกษาให้มีความเป็นหัวใจ         สีเขียว (Green Heart) และออกไปเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงของสังคม (Social Change Agents) เพื่อนำความรู้ความสามารถที่ตนมีไปก่อให้เกิดการพัฒนาที่มีผลกระทบ ทั้งในระดับสังคม ประเทศ และในโลกต่อไป”