เซสปรี บริษัทการตลาดกีวีรายใหญ่ที่สุดในโลก เดินหน้าติดตั้งระบบ SAP S/4HANA private cloud เพื่อยกระดับกระบวนการทำงานให้มีมาตรฐานและขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการเติบโตและการพัฒนาด้านนวัตกรรม
โอ๊คแลนด์, 2 กุมภาพันธ์ 2564 – เอสเอพี เอสอี (NYSE: SAP) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ เซสปรี อินเตอร์เนชั่นแนล (Zespri International) บริษัทผู้ส่งออกและบริหารการตลาดกีวีที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดย เซสปรี จะเป็นหนึ่งในลูกค้าระดับโลกรายแรกของ เอสเอพี ที่เริ่มต้นใช้งานโซลูชั่น SAP S/4HANA private cloud edition โซลูชั่นดังกล่าวถือเป็นแก่นสำคัญของ RISE with SAP บริการใหม่ล่าสุดซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเหลือองค์กรธุรกิจปรับตัวสู่ระบบดิจิทัล ความร่วมมือครั้งนี้จะส่งผลให้ เซสปรี สามารถปรับกระบวนการทำงานของทั้งองค์กรให้ขับเคลื่อนด้วยมาตรฐานเดียวกันและระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการเติบโตทางธุรกิจและนวัตกรรมใหม่ ตอบโจทย์องค์กรที่โตเร็วอย่างแท้จริง
เซสปรี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเม้าท์มองกานุย (Mount Maunganui) ประเทศนิวซีแลนด์ ได้ลงนามข้อตกลงการใช้งานโซลูชั่นในระยะยาว เพื่อมุ่งยกระดับศักยภาพด้านซัพพลายเชนของ เซสปรี ทั่วโลก โดยก้าวสู่การใช้ SAP S/4HANA private cloud edition และแอปพลิเคชัน SAP Digital Supply Chain หลายรายการ ได้แก่ SAP Global Trade Services, SAP Integrated Business Planning (IBP) และ SAP Logistics Business Network รวมถึง การปรับใช้ SAP Business Technology Platform ซึ่งประกอบด้วยโซลูชั่น SAP Analytics Cloud, SAP Integration Suite the SAP Extension Suit1 และ โซลูชั่นอื่นๆ ของ เอสเอพี ที่ได้รับการรับรองจากพันธมิตร อาทิ OpenText, Tricentis และ Celonis
การลงทุนในเทคโนโลยีครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำทิศทางของโปรแกรม Horizon แผนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจเชิงรุก 4 ปีของ เซสปรี ที่มุ่งพลิกโฉมองค์กรสู่ระบบดิจิทัล เพื่อเสริมประสิทธิภาพและเพิ่มยอดขายของธุรกิจเต็มกำลัง ประกอบกับความต้องการที่สูงขึ้นของผู้บริโภคสำหรับตลาดผลไม้พรีเมี่ยม ทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมียอดขายทั่วโลกอยู่ที่ 3.14 พันล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ในปี 2562/63 คาดว่าในระยะยาวจะส่งผลให้อุปทานการผลิตกีวีทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 164.4 ล้านถาดในปี 2562/63 เป็นประมาณ 280 ล้านถาดภายในปี 2573
นายเดฟ สคูลลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล (CDO) ของ เซสปรี กล่าวว่า “ โปรแกรม Horizon ของ เซสปรี จะเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบวิธีการดำเนินงานของบริษัท ทดแทนระบบและกระบวนการที่ถูกออกแบบขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน เพื่อให้สอดรับกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทในปัจจุบัน การใช้งานโซลูชั่นจาก เอสเอพี นับเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบ ตลอดจนกระบวนการทำงานทางธุรกิจของเรา ตั้งแต่ระบบการเงินและระบบซัพพลายเชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงการใช้งานและการติดต่อประสานงาน รวมถึงงานด้านการขายและการวางแผนธุรกิจ โดยการปรับเปลี่ยนระบบครั้งใหญ่นี้จะช่วยให้บริษัทของเราเติบโตและหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมสู่อนาคตได้อย่างแข็งแกร่งขึ้น”
ปัจจุบัน ความต้องการกีวีทั่วโลกมีมากกว่าอุปทาน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ซึ่งมองหาผลิตภัณฑ์ที่รสชาติดีและมีคุณค่าทางโภชนาการ
“เซสปรี เป็นธุรกิจขนาดใหญ่และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เราจึงต้องการกระบวนการและระบบที่ตอบโจทย์ครบวงจร เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตไปอีกขั้นของเรา การเลือกใช้งานแพลตฟอร์มที่ได้มาตรฐานของ เอสเอพี ซึ่งมีการพัฒนาระบบอยู่ตลอดเวลา จะช่วยให้เราใช้ประโยชน์ในแง่ของการวางแผนใช้งานระบบคลาวด์ของ เอสเอพี เพื่อนำนวัตกรรมมาปรับใช้ได้อย่างรวดเร็ว” นายสคูลลิ่ง กล่าวเสริม
ขณะนี้ เซสปรี ใช้งานโซลูชั่น เอสเอพี บนคลาวด์สาธารณะของ Microsoft Azure ซึ่งจะย้ายฐานข้อมูลไปยัง SAP S/4HANA private cloud edition ที่เป็นระบบคลาวด์ส่วนตัว และ เซสปรี จะยังคงใช้บริการ Azure สำหรับโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร รองรับการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพของ Microsoft และ เอสเอพี
สำหรับการอัพเกรดระบบไปสู่ SAP S/4HANA private cloud edition ของ เซสปรี นั้น สืบเนื่องมาจากการประกาศเปิดตัว RISE with SAP ชุดโซลูชั่นล่าสุด ซึ่งช่วยพลิกโฉมองค์กรสู่อินเทลลิเจนท์ เอ็นเตอร์ไพรซ์ ส่งมอบบริการซอฟต์แวร์, โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและการดำเนินการด้านเทคนิคอย่างรอบด้านภายใต้ชุดโซลูชั่นเดียว และ SAP S/4HANA private cloud edition จะเป็นโซลูชั่นหลักที่รวมอยู่ในบริการของ Rise with SAP
ด้วยการออกแบบโซลูชั่นที่มุ่งตอบสนองการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจเป็นสำคัญและปรับการใช้งานให้ตรงความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย Rise with SAP จะรวบรวมบริการมากมาย อาทิ การใช้งานด้านการออกแบบกระบวนการทางธุรกิจ, สนับสนุนการย้ายฐานข้อมูลทางเทคนิค, โซลูชั่น SAP Business Technology Platform, โซลูชั่น SAP Business Network, โซลูชั่น SAP S/4HANA Cloud และ Hyperscaler
“การก้าวไปสู่ระบบคลาวด์ เป็นการปรับรูปแบบการทำงานเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง เราเล็งเห็นถึงโอกาสในการเพิ่มความยืดหยุ่นของการทำงาน รองรับการเพิ่มขยายระบบในอนาคตและยกระดับนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว ด้วยประสิทธิภาพของระบบ private cloud จาก เอสเอพี ซึ่งมีการพัฒนาขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะรูปแบบของระบบที่ตอบสนองความยืดหยุ่นของลูกค้า มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของการให้บริการและระบบอัตโนมัติ ซึ่งทำให้โซลูชั่น SAP S/4HANA private cloud edition เหมาะสมสำหรับการใช้งานของธุรกิจเราในระยะยาว ช่วยให้เรามุ่งพัฒนากระบวนการดำเนินงานและระบบขององค์กรธุรกิจได้อย่างเต็มที่ โดยวางใจได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานและแพลตฟอร์มของเรานั้นปลอดภัย มีเสถียรภาพและพร้อมใช้งานอยู่เสมอ”
“การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ด้วยการเลือกใช้งานระบบที่ได้มาตรฐานเท่านั้น แต่ยังช่วยในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ซึ่งนำไปสู่ความแม่นยำในวางแผนงานบริหารจัดการซัพพลายเชน และประสิทธิภาพในการตัดสินใจด้านการจัดส่งและการจัดสรรตลาด” นายสคูลลิ่ง กล่าว
นายฟิล คาเมรอน กรรมการผู้จัดการของ เอสเอพี นิวซีแลนด์ กล่าวว่า “สำหรับธุรกิจของเราเอง เอสเอพี เชื่อมั่นมาตลอดว่า คลาวด์คืออนาคต เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ เซสปรี หนึ่งในลูกค้าสำคัญ ซึ่งใช้งานระบบ เอสเอพี มาอย่างยาวนาน ได้ตัดสินใจก้าวไปสู่อนาคตร่วมกันกับเรา เพื่อยกระดับองค์กรสู่การเป็น อินเทลลิเจนท์ เอ็นเตอร์ไพรซ์ SAP S/4HANA private cloud edition รุ่นใหม่นี้ จะส่งมอบการใช้งานที่รวดเร็ว ทรงประสิทธภาพ ทำให้ เซสปรี สามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วและความคล่องตัว นอกจากนี้ โซลูชั่นดังกล่าวยังจะช่วยเสริมศักยภาพของเซสปรีในการก้าวไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยประสิทธิภาพของเทคโนโลยีอัจฉริยะใหม่ล่าสุด นับตั้งแต่ Internet of Things (IoT) และระบบการวิเคราะห์ข้อมูลแบบพยากรณ์”
“สถานการณ์ในปีที่ผ่านมา ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามารถในการขับเคลื่อนธุรกิจและการทำงานอย่างยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ระบบคลาวด์ตอบโจทย์ โซลูชั่น SAP S/4HANA PCE จะส่งผลให้ เซสปรี สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ผสานอยู่ในแพลตฟอร์มได้ทันท่วงที เพื่อขับเคลื่อนการทำงานบนระบบอัตโนมัติ เพิ่มผลกำไร และผลักดันการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างมีศักยภาพ” นายคาเมรอน กล่าวปิดท้าย
การติดตั้งระบบครั้งนี้ จะดำเนินการโดยกลุ่มพาร์ทเนอร์ของ เอสเอพี ได้แก่ บริษัท Deloitte NZ ซึ่งร่วมมือกับ ZAG บริษัทในเครือของ Accenture โครงการดังกล่าวจะแบ่งออกเป็นขั้นตอนต่างๆ เริ่มต้นจากขั้นตอนการสร้าง Digital Core ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เพื่อมุ่งเสริมกระบวนการด้านการเงินและซัพพลายเชน ตามด้วยขั้นตอนการวางระบบสำหรับงานด้านการวางแผนธุรกิจแบบบูรณาการและการส่งเสริมการขาย
กรุณา คลิก เพื่อรับชมวิดีโอการให้ข้อมูลจาก นายเดฟ สคูลลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล (CDO) ของ เซสปรี เกี่ยวกับโปรแกรมเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจขององค์กร
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SAP ANZ News Centre ติดตามเอสเอพี ออสเตรเลีย ทางทวิตเตอร์ได้ที่ @SAPANZ