Home Technology การเชื่อมโยงข้อมูลด้วยเทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

การเชื่อมโยงข้อมูลด้วยเทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

0
การเชื่อมโยงข้อมูลด้วยเทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

บทความโดย อิซาเบลลา กุสุมาวาตี, รองประธานและกรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี, อินฟอร์

มีการคาดการณ์ว่า ภายในปี พ.ศ. 2569 ตลาดปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มจะมีมูลค่าสูงถึง 29.94 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ  การใช้งาน AI โดยผู้บุกเบิกธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า AI กำลังเป็นที่รู้จักในหลาย ๆ ด้าน มีผลต่อซัพพลายเชนอาหารในทุกแง่มุม ช่วยขับเคลื่อนการตัดสินใจที่ชาญฉลาด และทำให้สามารถตัดสินใจได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น พร้อมช่วยให้ธุรกิจมีความได้เปรียบในทุกการแข่งขันที่สำคัญ

แม้ว่าคนส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมฯ จะเคยได้ยินเรื่องของ AI มาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความสับสนค่อนข้างมากเกี่ยวกับวิธีการและประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับจากการปรับใช้เทคโนโลยี AI  อธิบายง่าย ๆ คือ AI มีศักยภาพในการปรับกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารทั้งหมดให้เหมาะสม, เอื้ออำนวยต่อการใช้งานแอปพลิเคชันอัจฉริยะที่ออกแบบเฉพาะให้กับแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อปรับปรุงทุกส่วนของซัพพลายเชน ตั้งแต่แหล่งกำเนิดไปจนถึงมือผู้บริโภค รวมถึงพัฒนาให้ซัพพลายเชนต่าง ๆ มีความคล่องตัว และขับเคลื่อนให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น

หลายคนคิดว่า AI เป็นสมองกลและเทคโนโลยีสำหรับปฏิบัติงานที่ซับซ้อน ซึ่งเคยต้องใช้สติปัญญาของมนุษย์จึงจะสำเร็จ แต่ AI ทำได้มากกว่านั้น ทำให้เกิดแนวทางใหม่ ๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่สามารถกระทำแบบแมนนวลได้  และนี่เองคือจุดเริ่มต้นที่ AI เข้ามามีบทบาทในการให้คำแนะนำที่ถูกต้อง และทันเวลาสำหรับงานเกือบทุกด้านของซัพพลายเชนอาหาร  โดยใช้ความสามารถในการพิจารณาคุณค่าของข้อมูล, พารามิเตอร์, สถานการณ์แบบ what-if และปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ ที่มากมายมหาศาล  และท้ายที่สุด ก็จะทำให้ธุรกิจเกิดความได้เปรียบในการแข่งขันที่ไม่สามารถเลียนแบบได้เลย หากปราศจากการใช้เทคโนโลยี AI

Smart farm, futuristic technology in farming industry. Female hand with smartphone control digital wireless devices in greenhouse for growing or watering plants, automation Cartoon vector illustration

AI ในอุตสาหกรรมอาหารประกอบด้วยเทคโนโลยีหลากหลายชนิด ตั้งแต่หุ่นยนต์ไปจนถึงแมชชีนเลิร์นนิง แล้วเราจะเห็นอุตสาหกรรมอาหารใช้งาน AI ในด้านใด และเทคโนโลยีนี้ก่อให้เกิดผลกระทบอะไรบ้าง

การเกษตรแม่นยำ

การใช้เทคโนโลยี AI ทำให้การเกษตรมีความแม่นยำมากขึ้น  ด้วยเหตุนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลการเก็บเกี่ยวที่ผ่านมาทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพควบคู่ไปกับการพยากรณ์อากาศ ทำให้สามารถกำหนดพื้นที่และเวลาสำหรับให้น้ำหรือใส่ปุ๋ยได้อย่างเหมาะสม  สำหรับภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีฟาร์มเลี้ยงกุ้งแห่งหนึ่งใช้เทคโนโลยี AI ในการจัดการปริมาณอาหารสำหรับเลี้ยงกุ้งให้เหมาะสม เพื่อป้องกันการให้อาหารที่มากหรือน้อยจนเกินไป ช่วยลดอัตราส่วนอาหารต่อการผลิต (Feed conversion ratio – FCR) ทำให้วงจรการผลิตกุ้งสั้นลง และเพิ่มผลิตผลขึ้นได้ถึงสองเท่าโดยไม่ต้องใช้ระบบที่มีความเข้มข้นสูง

สำหรับภาคการเกษตรของประเทศไทย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ผลการศึกษาของ Association of Equipment Manufacturers (AEM) พบว่า การเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) สามารถเพิ่มผลผลิตได้ราว 6% ช่วยประหยัดการใช้ปุ๋ยและสารปราบศัตรูพืชได้เกือบ 15% และ ลดการใช้น้ำได้ถึง 21% ดังนั้น การนำ Precision Farming มาใช้จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มประสิทธิภาพของภาคการเกษตรไทย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ราคาปุ๋ยมีแนวโน้มแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

EIC มองว่า หากส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้าสู่ภาคการเกษตรไทยได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือเกษตรกรไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยเหลือส่วนต่าง ๆ ในระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตรได้อีกด้วย ซึ่งจะส่งผลให้การยกระดับภาคการเกษตรไทยทั้งหมดแข็งแกร่งขึ้น อนึ่ง ภาคการเกษตรนั้นเป็น 1 ใน 5 ของ
ภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด การนำเทคโนโลยีมาปรับรูปแบบของการเกษตรจะสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมให้ภาคการเกษตรมีความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่นับวันมีแนวโน้มที่จะรุนแรง และแปรปรวนมากขึ้นในอนาคตอีกด้วย

กลยุทธ์ด้านราคา

เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยหลาย ๆ ประการ ก็จะพบว่าเทคโนโลยี AI ยังสามารถกำหนดกลยุทธ์ด้านราคาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย  โดยแอปพลิเคชัน AI สามารถวิเคราะห์ตัวแปรทั้งหมดที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เช่น ฤดูกาล, ราคาคู่แข่ง, โปรโมชัน, ความต้องการของลูกค้า ฯลฯ ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนของการตั้งราคาและแนวโน้มต่าง ๆ ที่ผ่านมา พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับชนิดของสินค้าและราคาที่ควรขาย เพื่อเพิ่มรายได้สูงสุด  ปัจจุบันมีบริษัทส่วนผสมเบเกอรีชั้นนำของยุโรปใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมชนิดนี้ เพื่อให้ได้คำแนะนำด้านราคาที่ดีที่สุดสำหรับสินค้าที่หลากหลายของบริษัท 

บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง

ความผันผวนของซัพพลายเชนอาหารส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา  ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติของ AI ที่ช่วยให้ค้นพบวิธีการทำงานใหม่ ๆ ที่ดีกว่าได้  เช่น เครื่องมือ AI ที่เหมาะสมจะสามารถคาดการณ์เวลาที่เรือเดินทะเลจะมาถึง ช่วยให้ผู้ผลิตคำนวณเวลาที่วัตถุดิบจะมาถึงได้แม่นยำยิ่งขึ้น  และเป็นการให้รายละเอียดในระดับที่สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างสิ้นเชิง  เพราะไม่เพียงแต่ผู้ผลิตจะเห็นภาพตอนที่ส่วนผสมจะมาถึงได้ถูกต้อง
มากขึ้นเท่านั้น แต่เทคโนโลยียังสามารถนำปัจจัยต่าง ๆ มาพิจารณาร่วมด้วย เช่น ระยะเวลาขนถ่ายสินค้าที่โรงงานที่ช่วยให้กำหนดตารางเวลาการผลิตได้แม่นยำขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและเพิ่มผลผลิตสูงสุด เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า ข้อมูลที่ละเอียดขนาดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ AI เป็นรากฐานสำคัญของซัพพลายเชนที่แม่นยำ คล่องตัวและคาดการณ์ได้มากขึ้น ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนสำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นทั้งหมด รวมทั้งให้ข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นและนำไปใช้ได้จริง เพื่อจะได้ก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งไปอีกก้าว

ความยั่งยืน

นอกจากนี้ AI ยังส่งผลดีในประเด็นความยั่งยืนต่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย  โดยธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกที่สร้างขึ้น โดยแอปพลิเคชัน AI ควบคุมการใช้น้ำและพลังงานให้น้อยที่สุด ทำให้มั่นใจได้ถึงการผลิตที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่ไปกับการลดของเสียที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตทั้งหมด  ในทำนองเดียวกัน การจับคู่ข้อมูลจำเพาะแบบแมชชีนเลิร์นนิงและการจัดสรรสต็อก จะช่วยทำให้ผู้ผลิตสามารถใช้สต็อกที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยยังคงรักษามาตรฐานได้ตามที่ลูกค้าต้องการ 

สำหรับธุรกิจที่มองการณ์ไกลยังมีการใช้ AI กำหนดวันหมดอายุแบบไดนามิกที่ปรับได้ตามคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยใช้ข้อมูลที่มีคุณภาพร่วมกับข้อมูลอายุการเก็บรักษาของส่วนผสม  ดังนั้น AI จึงตอบโจทย์ที่ว่า ‘เราจะสามารถยืดอายุการเก็บรักษาได้อย่างปลอดภัย โดยพิจารณาจากคุณภาพของวัตถุดิบที่มีอยู่ได้หรือไม่’ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะทำให้สินค้ามีอายุการขายที่นานขึ้น พร้อมลดของเสียและเพิ่มรายได้ไปในตัว ขณะเดียวกันเทคโนโลยี AI สามารถทำให้ซุปเปอร์มาร์เก็ตใช้ชั้นวางของอัจฉริยะได้ โดยมีการปรับเปลี่ยนราคาสินค้าไปตามอายุการเก็บรักษาที่เหลืออยู่และประวัติระบบขายหน้าร้าน ซึ่งจะช่วยลดของเสียและเพิ่ม
ผลกำไรได้อีกทางหนึ่ง

เพิ่มผลผลิตสูงสุด

ยิ่งไปกว่านั้น AI ยังสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจนในด้านการเพิ่มผลผลิต ด้วยการใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ Internet of Things (IoT) ร่วมกับแมชชีนเลิร์นนิง ที่ทำให้การตั้งค่าเครื่องเป็นไปอย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มผลผลิตสูงสุด เช่น ผู้ผลิตสามารถสอบถามถึงวิธีการเพิ่มผลผลิตสูงสุด โดยพิจารณาจากคุณภาพของส่วนผสมและสภาวะต่าง ๆ ของกระบวนการ  ผู้ผลิตสามารถใช้ AI เพื่อเพิ่มผลผลิตของกระบวนการให้สูงสุดในทุกขั้นตอน โดยพิจารณาจากพารามิเตอร์ของกระบวนการต่าง ๆ ที่มากมายมหาศาล

AI คือการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ใช้ข้อมูลปริมาณมหาศาลที่ภาคอาหารและเครื่องดื่มสร้างขึ้น และใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ เพื่อทำความเข้าใจตัวแปรซับซ้อนจำนวนมากที่เกิดในอุตสาหกรรมได้ดียิ่งขึ้น  เมื่อมีธุรกิจจำนวนมากขึ้นลงทุนในเทคโนโลยี AI ซัพพลายเออร์ก็จะสามารถพัฒนาโซลูชัน AI ที่สร้างสรรค์ได้มากขึ้น  โดยจะนำการเรียนรู้และประสบการณ์ของผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มมาใช้เป็นเทมเพลต AI ที่สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน  เพื่อส่งมอบข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นต่อการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดและเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ

AI ต้องใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ ตราบใดที่มีข้อมูล AI จะสามารถระบุแนวโน้มและรูปแบบของข้อมูล 
ถอดบทเรียนจากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เพื่อให้ธุรกิจนำไปใช้งานต่อ การประยุกต์ใช้ข้อมูลเชิงลึกนี้จะทำให้
การดำเนินงานดีขึ้น เร็วขึ้น และให้ผลกำไรมากขึ้นในทุกขั้นตอนของซัพพลายเชน ส่งผลให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่พร้อมตอบสนองและยืดหยุ่นไปทั่วโลก